เริ่มจากทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่า เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) คืออะไร ?
เครื่องฟอกอากาศ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยกรองสิ่งปนเปื้อนในอากาศภายในห้องหรืออาคาร เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถกรองฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์เลี้ยง แบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ ควัน และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ ที่มีคุณภาพ
1. เลือกที่ Filter
Filter หรือ ไส้กรอง คือ หัวใจหลักของเครื่องฟอกอากาศในปัจจุบัน ผู้ผลิตเครื่องฟอกอากาศมีการผลิตแผ่นกรองอนุภาคต่างๆ เหล่านี้ออกมา ซึ่งเรียกว่า Filter โดยเครื่องฟอกอากาศที่ดี มีคุณภาพ ควรมีไส้กรองแต่ละชั้นที่ประกอบไปด้วย
ชั้นแรก : ตะแกรงกรองแบบหยาบ คือ ส่วนที่สามารถกรองเส้นผม หรือฝุ่นขนาดใหญ่ได้ในชั้นแรก
ชั้นที่สอง : Activated carbon filter หรือ Gas & Odor Filter เป็นชั้นที่ใช้ดูดซับสารอินทรีย์ระเหย (VOCs) รวมถึงเบนซีนและไซลีน เช่นเดียวกับก๊าซหุงต้ม ไอระเหย สีและวัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงควันบุหรี่ ควันไอเสียรถยนต์ ยิ่งถ้าคาร์บอนมีน้ำหนักมากเท่าไร แปลว่าสามารถดูดซับสิ่งต่างๆได้เยอะ
ชั้นที่สาม : Medical grade HEPA filter HEPA Filter เป็นชั้นที่กรองอนุภาคละเอียด สามารถดักจับฝุ่น หรืออนุภาคที่มีขนาดเล็ก ซึ่ง HEPA สามารถแบ่งระดับได้ดังนี้ (สามารถดูวิธีการเลือก HEPA ได้ที่นี่)
ชั้นที่สี่ : UV ฆ่าเชื้อ หากเครื่องฟอกเครื่องใดมีการบรรจุเทคโนโลยี UV หรือ เทคโนโลยี Photocatalytic Oxidation (PCO) ในการสลายสารเคมีและกลิ่นที่เป็นอันตราย รวมไปถึงสามารถฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และมลพิษอื่นๆ ก่อนปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมา ซึ่งจะเป็นข้อดีมาก เนื่องจากแผ่นกรอง HEPA มีหน้าที่เพียงแค่กรองเท่านั้น ไม่สามารถย่อยสลายเชื้อไวรัส หรือก๊าซได้ ซึ่งอาจจะทำให้อากาศที่ถูกปล่อยออกมาอาจมีการปนเปื้อนอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยี UV และ PCO จำเป็นต้องมีการจดสิทธิบัตรและได้รับการรับรองว่าปลอดภัยต่อผู้ใช้งานด้วย
2. ส่วนประกอบของตัวเครื่อง
นอกจากการทำงานของ Filter แล้ว .. ควรใช้วัสดุส่วนประกอบของตัวเครื่องที่มีคุณภาพ เช่น วัสดุ และอะไหล่ที่ใช้ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค แนะนำให้เลือกใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีตัวเครื่องและกรอบของแผ่นกรองที่เป็นโลหะ หรือ วัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดการหมักหมมเพาะพันธุ์ของเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น วัสดุที่ทำมาจากโฟม กระดาษ ไม้ เพราะวัสดุเหล่านี้มีผลทำให้แผ่นกรองมี ความชื้น ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียให้เติบโตได้
3. หลักการทำงานของเครื่องที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้
การทำงานของเครื่องฟอกอากาศในแต่ละครั้ง ผู้ใช้จะต้องแน่ใจว่า เครื่องฟอกอากาศไม่ปล่อยอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ หรือมลพิษต่างๆ ออกมาได้ เช่น ตัวเครื่องที่มีการซีลที่สนิท ซึ่งเป็นข้อดีที่จะทำให้อากาศที่ยังไม่ผ่านการกรองหรือการฆ๋าเชื้อหลุดลอดออกมา หรือ การทำงานของเครื่องฟอกบางชนิดมีการปล่อยโอโซน หลายๆ ท่านอาจจะเข้าใจว่า ถ้ามีโอโซน แสดงว่าเป็นอากาศที่บริสุทธิ์สิ *แต่แท้จริงแล้ว โอโซน ไม่ใช่อากาศที่มนุษย์เราใช้ในการหายใจ โอโซนเป็นก๊าซ ไม่มีสีแต่มีกลิ่นเหม็นคาว ซึ่งเป็นพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต โอโซนมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยา จึงมักจะเกิดปฏิกิริยากับสารอื่นๆในสิ่งแวดล้อม ความรู้สึกที่ว่าโอโซนดับกลิ่นทำให้ อากาศสดชื่นนั้นความจริงเกิดจากการที่โอโซนเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของสารที่มีกลิ่นให้กลายเป็นอีกโมเลกุลซึ่งไม่มีกลิ่น ทำให้เรารู้สึกสดชื่นนั่นเอง ไม่ใช่เป็นเพราะโอโซนอย่างที่เราเข้าใจกัน ซึ่งผลเสียของโอโซนในระดับความเข้มข้น 0.25 ppm ขึ้นไปก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อ ตา จมูก และจะทำลายเนื้อเยื่อปอด เกิดความระคายเคืองเมื่อหายใจเข้าไป ถ้าได้รับในปริมาณมากจะทำให้ตายได้ ดังนั้นการนำมาใช้ควรระมัดระวัง เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ( ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล )
4. ปัจจัยเสริมอื่นๆ
แล้วถ้าเราจะตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ .. ควรนำปัจจัยใดมาพิจารณาบ้าง? แน่นอนว่า นอกจากเราจะเลือกจากใส้กรอง Filter ที่มีประสิทธิภาพที่ดีแล้ว ยังจะต้องดูปัจจัยหลักอื่นๆ ดังต่อไปนี้ด้วย ( ขอบคุณข้อความจาก สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ )
- ค่า CADR ปัจจัยสำคัญของการพิจารณาซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) คือ ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) แสดงถึงปริมาณอากาศทั้งหมดที่ได้รับการทำให้บริสุทธิ์โดยเครื่องฟอกอากาศ ยิ่งค่า CADR ที่แสดงบนเครื่องสูงเท่าไหร่ แสดงว่าเครื่องฟอกอากาศทำงานมีประสิทธิภาพดีมากเท่านั้น
- ขนาดของห้อง ใช้หลักการเดียวกันกับการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเลยก็ว่าได้ ยิ่งห้องมีขนาดใหญ่เท่าไร ก็ต้องเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นวิธีการคือวัดขนาดกว้าง ยาวของห้อง แล้วดูค่าเปลี่ยนถ่ายอากาศทุกชั่วโมงของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ว่าค่าคือเท่าไร
- ประหยัดค่าไฟ ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผลต่อค่าไฟคือแผ่นกรอง ถ้าแผ่นกรองหนาแน่นมากอากาศผ่านได้น้อย จะยิ่งทำให้เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ทำงานหนัก และกินไฟ ดังนั้นควรเลือก เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่มีแผ่นกรองแบบที่อากาศไหลผ่านได้ดี รวมทั้งให้พิจารณาฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ร่วมด้วย
- ระดับเสียง เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่ดีควรมีระดับเสียงต่ำขณะทำงาน เพราะผู้เป็นภูมิแพ้บางคนอาจต้องเปิดเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขณะนอนหลับ ดังนั้นจึงควรเลือกระดับเสียงในการทำงานที่มีค่าประมาณ 30-31 เดซิเบล ส่วนใครที่ไม่คิดว่าจำเป็นต้องใช้งานตอนกลางคืน อาจข้ามเรื่องเสียงไป
- ระบบอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าต้องการตอบสนองความสะดวกสบายของตนเองมากน้อยแค่ไหน เช่น ระบบที่สามารถปรับระดับความเบา ความแรงของเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier )ได้เองโดยอัตโนมัติ รวมทั้งควรมีฟังก์ชั่นการตั้งเวลาเปิด-ปิดเพื่อให้เครื่องสามารถหยุดการทำงานในขณะที่เราหลับหรือไม่อยู่บ้าน
MORE DETAIL : AIRGLE WEBSITE
สั่งซื้อได้ที่ : Airgle eshop | Retail stores | Corporate purchase